คอมพิวเตอร์, ซอฟแวร์, ทดลองเล่น, โปรแกรม

Prosser เปิดตัว Macbook Pro 14 และ 16 นิ้ว

ด้วยการที่ MacBook Pro 16” เป็นโน้ตบุ๊กที่จับตลาดเฉพาะกลุ่มมากๆ ทำให้เครื่องรุ่นนี้อาจจะไม่ได้เป็นที่สนใจของตลาดคอนซูเมอร์ทั่วไป แต่กลับกันถ้าเป็นผู้ที่อยู่ในสายงานอาชีพที่ต้องการเครื่องมือมาช่วยในการสร้าง Productivity ทดลองเล่นเมื่อได้ลองสัมผัสกับ MacBook Pro 16” เครื่องนี้แล้ว จะพร้อมใจกันยกให้เป็น MacBook รุ่นที่ดีที่สุดของปีนี้

โดยการมาของ MacBook Pro 16” ทำให้แอปเปิล (Apple) ยุติการทำตลาด MacBook Pro 15” โดยปริยาย พร้อมกับปรับราคาเครื่องให้ได้สเปกที่ดีขึ้น ในราคาที่ใกล้เคียงกับรุ่น 15” และมีตัวเลือกสเปกให้ผู้ใช้งานได้เลือกมากขึ้น รับกับตลาดที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูงไปช่วยในการประมวลผลจุดเด่นของ MacBook Pro 16” หลักๆ เลยคือเรื่องการปรับขนาดหน้าจอ เปลี่ยนคีย์บอร์ดกลับมาใช้เป็น Magic Keyboard เพิ่มคุณภาพของลำโพง เพิ่มประสิทธิภาพตัวเครื่องจากหน่วยประมวล และกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ ดังนั้น ถ้าอยู่ในแวดวงการใช้งานเครื่องหนักๆ ในการทำงาน การลงทุนเพื่อให้ได้เครื่องรุ่นใหม่ที่แรงขึ้น ช่วยลดระยะเวลาในการทำงานได้น้อยลง MacBook Pro 16″ จึงเป็นรุ่นที่ไม่ควรพลาด

ด้วยการที่ MacBook Pro เน้นกลุ่มผู้ใช้งานระดับมืออาชีพเป็นหลัก ด้วยการพัฒนาเครื่องรุ่น 16” ขึ้นมา จากการรับฟังเสียงของผู้ใช้งานไปปรับปรุงเครื่องรุ่น 15” เดิม ทำให้พอมาเป็น 16” แล้วอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนหนึ่งเลยคือด้วยการที่ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ทำให้ไม่เหมาะกับการพกพาเหมือนอย่าง MacBook Air หรือ MacBook Pro 13” ดังนั้น กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการเครื่อง 16” จึงกลายเป็น Heavy User ที่ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูงเป็นหลัก

โดยเฉพาะในกลุ่มของช่างภาพมืออาชีพทั้งภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ จนถึงนักตัดต่อ ที่ต้องการเครื่องประมวลผลแรงๆ มาช่วย แม้กระทั่งกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาที่นำไปใช้กับการเขียนโปรแกรม ผู้ที่ทำงานกราฟิกต่างๆเพราะนอกจากประสิทธิภาพ และขนาดหน้าจอแล้ว หลายๆ จุดบน MacBook Pro 16” ยังได้มีการปรับปรุงมาให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น แต่ถ้าเป็นผู้ที่ใช้งานทั่วๆ ไป ถ้าต้องการเครื่องจอใหญ่มาใช้งาน และไม่ยึดติดกับขนาดเครื่องรุ่น 16” ก็น่าสนใจ แต่ถ้าต้องการพกพาง่าย แนะนำให้มองไปรุ่นอย่าง Air หรือ Pro 13” ดีกว่า

เริ่มกันจากเรื่องของขนาดหน้าจอที่ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 16 นิ้ว จากรุ่นเดิมที่อยู่ 15.4 นิ้ว แม้ว่าจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ที่เห็นชัดเจนเลยคือขอบจอ (Bezel) ของเครื่องบางลงกว่ารุ่นเดิม และสเปกจอสูงขึ้นโดยจอของ MBP 16” นอกจากรองรับมาตรฐานสี P3 แล้วยังให้ความสว่างหน้าจอเพิ่มขึ้นเป็น 500nit ช่วยให้สามารถใช้งานในที่แสงจ้าได้สะดวกขึ้น ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 3072 x 1920 พิกเซล 5.9 ล้านสี ความละเอียดเม็ดสีอยู่ที่ 226 ppi

ความพิเศษของ MacBook Pro 16” คือเปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งอัตราการรีเฟรชหน้าจอ (Refresh Rate) ได้ด้วยตนเอง ในจุดนี้จะเหมาะกับผู้ใช้งานที่ทำงานทางด้านตัดต่อ เพราะสามารถปรับการแสดงผลหน้าจอให้เหมาะกับผลิตวิดีโอคอนเทนต์ที่ใช้งานที่สามารถเลือกได้ตั้งแต่ 47.95, 48, 50, 59.94 และ 60 Hertz ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าไฟล์วิดีโอที่นำมาใช้งานบันทึกมาในรูปแบบของ 25 เฟรม 30 เฟรม หรือ 60 เฟรม แล้วก็เลือกใช้ Refresh Rate ตามช่องทางที่นำไปใช้ เพื่อให้แสดงผลได้แม่นยำที่สุด

MacBook Pro 16” จะเหมาะกับสายที่เน้นการทำงานเป็นหลัก ต้องการเครื่องมือที่มาช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น โดยไม่ได้กังวลกับเรื่องราคาของตัวเครื่อง เพราะสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ ซึ่งจากทิศทางที่แอปเปิล ฟังเสียงจากผู้ใช้ไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ถือเป็นแนวโน้มที่ดีกับเครื่องรุ่นอื่นๆ ที่จะทยอยอัปเดตในอนาคตด้วยหลังจากนี้คงต้องรอดูกันว่า แอปเปิล จะนำ Magic Keyboard กลับมาใช้กับ MacBook รุ่นอื่นๆ ต่อหรือไม่ รวมถึงเสียงเรียกร้องให้นำช่องอ่าน SD Card กลับมา ด้วยเช่นกัน เพราะปัจจุบันผู้ที่ใช้ทำงานอย่างช่างภาพ หรือวิดีโอต่างต้องใช้งานคู่กับการ์ดรีดเดอร์ ทำให้ไม่สะดวกเท่าที่ควร

สำหรับราคาจำหน่ายของ MacBook Pro 16” รุ่น Core i7 เริ่มต้นที่ 75,900 บาท ส่วนรุ่น Core i9 เริ่มต้นที่ 89,900 บาท ทดลองเล่นโดยสามารถปรับแต่งขึ้นไปได้ถึง Core i9 2.4 GHz RAM 64 GB กราฟิกการ์ด 8 GB SSD 8 TB ในราคา 221,900 บาท

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *